ใครกลัวหมอฟัน…ฟังทางนี้ (ตอนที่ 2)

February 26, 2010 at 3:17 am | Posted in Beauty & Lifestyle, Deantal Health | Leave a comment
Tags: ,

โรคกลัวหมอฟัน

ในตอนก่อนหน้านี้ได้ยกตัวอย่างเหตุผลที่ทำให้คนกลัวหมอฟัน ทั้งๆ ที่หมอฟันยุคใหม่นี้เป็นหมอฟันที่ใจดีซะเป็นส่วนมาก (อย่างน้อยก็จากประสบการณ์ที่ผ่านมาของเราเองแหละ) วันนี้ตามสัญญาค่ะ เรามาพร้อมเทคนิคที่จะทำให้คุณคลายความกลัวจากหมอฟันลง

  • ระบายความกลัวและความกังวลของคุณออกมาให้คุณหมอฟัง ไม่ต้องกลัวว่าคุณหมอจะดุหรือจะหัวเราะเยาะความกลัวของคุณหรอกนะคะ ในกรณีที่บังเอิญไปเจอคุณหมอหรือเจ้าหน้าที่ที่ไม่ให้ความสำคัญกับความกังวลและความกลัวของคุณ เปลี่ยนหมอฟันใหม่เลยค่ะ ยังมีหมอฟันดีๆ อีกมากมายในเมืองไทยให้คุณเลือก
  • ให้คุณหมออธิบายขั้นตอนการรักษาคร่าว ๆ อย่างน้อยการที่ได้รับรู้ว่ากำลังจะต้องเผชิญกับอะไรบ้างอาจจะทำให้คุณสบายใจขึ้น
  • หากสาเหตุของความกลัวหมอฟันของคุณอยู่ที่ความอายเพราะไม่ได้พบหมอมานาน ทิ้งความอายเอาไว้ที่บ้าน แล้วรวบรวมความกล้าบอกคุณหมอถึงปัญหาของคุณอย่างตรงไปตรงมา เชื่อเถอะค่ะ ว่าคุณหมอเห็นปัญหาเกี่ยวกับช่องปากมานักต่อนักแล้ว ปัญหาของคุณอาจจะกลายเป็นแค่เรื่องจิ๊บจ๊อยไปเลยก็ได้
  • ทำตัวให้ผ่อนคลาย ที่คลินิกฟันบางแห่ง จุดเทียนหอมเพื่อกลบกลิ่นยาหรือกลิ่นของคลินิกที่ทำให้บางคนหวาดหวั่น ในขณะที่คุณหมอกำลังลงมือทำฟันก็จะเปิดเพลงเบาๆ แบบฟังสบาย เพื่อให้คนไข้รู้สึกผ่อนคลายแทนที่จะไปจดจ่ออยู่แต่กับการรักษา
  • หากขั้นตอนของการรักษาจะต้องมีการฉีดยาเข้าที่บริเวณเหงือก อาจจะขอให้คุณหมอทาเจลชา (topical anaesthetic)  บริเวณที่จะฉีดก่อน หรือคุณหมอบางคนอาจใช้วิธีการชวนคุยในขณะฉีดยาเพื่อให้คุณคลายความกังวลจากการกลัวความเจ็บเนื่องจากเข็มฉีดยา
  • หากวิธีที่กล่าวมาข้างต้นยังไม่ทำให้คุณคลายความกลัวลงได้ “ยาสลบ” คงเป็นคำตอบสุดท้ายของการแก้ปัญหานี้ล่ะค่ะ แต่อย่าหวังว่าจะขอให้คุณหมอทำให้เราสลบพร่ำเพรื่อได้นะคะ เพราะการตัดสินใจว่าจะให้หรือไม่ก็คงต้องอยู่ภายใต้วิจารณญาณของคุณหมอแต่ละท่านล่ะค่ะ

โรคกลัวนี้ ถามว่าทำให้หายได้มั้ย คำตอบคือได้ค่ะ แต่ต้องอาศัยใจที่เข้มแข็งของเราด้วยว่ามีความมุ่งมั่นที่จะเอาชนะความกลัวมากแค่ไหน สำหรับใครที่กำลังประสบปัญหานี้ ลองเริ่มต้นด้วยการเปลี่ยนมุมมองความคิดใหม่ต่อการไปหาหมอฟันว่าเราไปเพื่อทำให้ความเจ็บปวดนั้นหาย และคุณหมอฟันก็คือคนที่จะช่วยเราได้ ยังไงก็เอาใจช่วยให้ทุกคนชนะความกลัวในครั้งนี้ไปให้ได้นะคะ…

ใครกลัวหมอฟัน…ฟังทางนี้ (ตอนที่ 1)

February 25, 2010 at 9:54 am | Posted in Beauty & Lifestyle, Deantal Health | Leave a comment
Tags: ,
กลัวหมอฟัน

การไปพบหมอฟันสำหรับบางคนเปรียบเสมือนฝันร้าย ด้วยเหตุผลที่แตกต่างกันไป

ทั้งๆ ที่เป็นผู้ที่ทำให้สุขภาพปากและฟันของเราสมบูรณ์ แข็งแรง แต่ไม่น่าเชื่อว่า “หมอฟัน” จะเป็นอันดับต้นๆ ของบุคคลบนบัญชีดำที่หลายคนรู้สึกกลัวที่จะเจอ ยิ่งใครที่เคยดูหนังสยองแหยะอย่าง The Dentist ทั้งสองภาค (ทั้งๆ ที่ภาคเดียวก็น่าจะเพียงพอแล้ว) คงจำภาพความโหดที่แอบจิตของหมอฟันในเรื่องได้เป็นอย่างดี

บางคนกลัวการไปหาหมอฟันมากถึงขนาดยอมทนปวด ปล่อยให้เหงือกอักเสบมากจนแทบจะเคี้ยวไม่ได้ เราเองตอนเด็กๆ จำได้ว่าไปหาหมอฟันบ่อยอยู่ไม่น้อย และไปทีไรก็ต้องร้องลั่นทุกครั้งไป แต่ถามว่าตอนนี้กลัวการไปหาหมอฟันมั้ย? คำตอบคือไม่ แล้วสงสัยมั้ยคะว่าทำไมบางคนถึงได้กลัวแบบจับจิตขนาดนั้น

เหตุผลที่คนกลัวหมอฟัน

เหตุผลที่ทำให้คนเรากลัวหมอฟันนั้นมีหลากหลาย บางเหตุผลสำหรับคนทั่วไปอาจจะมองว่ามันเป็นเรื่องปกติที่ไม่เห็นจะน่ากลัวอะไร แต่อย่าลืมว่าต่างคนก็ต่างประสบการณ์ ต่างความรู้สึกนะคะ บางทีแค่เพียงกลิ่นของคลินิกก็ทำให้บางคนถึงกับขาสั่น จะเดินเข้าคลินิกทีต้องอาศัยแรงดันจากคนใกล้ตัวกันเลยทีเดียว และต่อไปนี้เป็นเหตุผลยอดฮิตที่ทำให้คนกลัวการไปหาหมอฟัน แต่อย่ารู้สึกว่าคุณแปลกแยกแต่อย่างใดนะคะ เพราะนอกจากคุณแล้ว การสำรวจยังพบว่าอัตราคนที่เป็นโรคกลัวหมอฟัน หรือ dentist phobia นั้นมีมากหลายล้านคนทั่วโลกเชียวค่ะ

  • ผ่านประสบการณ์ที่ไม่ดีในการไปหาหมอฟันมาก่อน ซึ่งหมายรวมถึงความเจ็บปวดที่ฝังใจจากการทำฟันครั้งก่อน บางคนกลัวเข็ม บางคนรู้สึกไม่ประทับใจกับตัวหมอฟันเอง หรือการบริการของพนักงานในคลินิก
  • อายที่จะให้คนอื่น (หมอฟัน) เห็นสภาพที่ไม่น่าดูของเหงือกและฟันของตัวเอง ยิ่งคนที่ละเลยหรือหลงลืมการหาหมอฟันมาเป็นเวลานาน จะตัดสินใจทีก็คิดแล้วคิดอีก กลัวหมอจะว่าเอา
  • รู้สึกหวาดๆ เวลาที่คุณหมอเอาเครื่องมือหรืออุปกรณ์ทำฟันมาใส่ในปาก ความกังวลนี้พาลจะทำให้บางคนถึงกับหายใจไม่ค่อยออกได้
  • เคยทำฟันกับคุณหมอมือหนัก บางทีคุณหมออาจจะเอาใจใส่กับขั้นตอนการรักษามากเกินไปจนลืมนึกถึงเราไปว่าจะเจ็บมั้ย ปวดมั้ย ทำให้เราเกิดความเข็ด
  • ความกลัวที่เกิดจากการเหมารวม หรือคิดเอาเองว่าหมอฟันที่เห็นในหนัง หรือฟังที่ใครๆ เล่ามาก็น่าจะโหดเหมือนกัน
  • ในกรณีที่เกิดมาชาตินี้คุณยังไม่เคยย่างกรายไปหาหมอฟัน ความกลัวที่คุณมีอยู่นั้นอาจจะเป็นความกลัวที่ไม่มีสาเหตุ

ไม่ว่าความกลัวหมอฟันของคุณนั้นจะเกิดจากสาเหตุข้อใดข้อหนึ่งข้างต้น ขอให้เชื่อว่าความกลัวนี้มีทางทำให้หายได้ค่ะ ส่วนวิธีจะมีอะไรบ้างนั้น ติดตามต่อตอนต่อไปนะคะ

ทำอย่างไรให้ขาวทน…ขาวนาน?

February 24, 2010 at 9:31 am | Posted in Beauty & Lifestyle | Leave a comment

ฟันขาวแข็งแรง

อย่างที่บอกไปเมื่อวานนี้ว่าการฟอกสีฟันก็เหมือนกับการออกกำลังกายและการลดน้ำหนัก คือถ้าเริ่มเห็นผลแล้วเราเกิดชั่งใจ ปล่อยปะละเลย ไม่ดูแลรักษา ฟันขาวสวยที่เราเห็นอาจจะกลายเป็นความงามเพียงชั่วคราวได้ วันนี้จึงถือโอกาสนำทิปการดูแลสุขอนามัยในช่องปากสำหรับคนที่ฟอกสีฟันมาฝากกันค่ะ

เนื่องจากในการฟอกสีฟันนั้นจะมีขั้นตอนของการขจัดคราบที่เกาะอยู่บนเคลือบฟัน ซึ่งเป็นผลทำให้ฟันสะอาดและดูขาวขึ้น ความหนาของตัวเคลือบฟันหรือ enamel ของแต่ละคนนั้นจะแตกต่างกันไป ความแตกต่างนี้เองที่ทำให้สีฟันของแต่ละคนก็ต่างกันออกไปด้วย และเป็นเหตุผลว่าทำไมระดับความขาวหลังการฟอกสีฟันของแต่ละคนถึงแตกต่างกัน

เมื่อฟอกสีฟันจนมีฟันที่ขาวขึ้นแล้ว สิ่งสำคัญอยู่ที่เราจะทำอย่างไรที่จะรักษาความขาวนั้นให้คงทนและไม่ทำให้สีฟันกลับไปหม่นก่อนเวลาอันควร ข้อแนะนำที่ทำได้ไม่ยากมีดังนี้

  • หลีกเลี่ยงอาหารและเครื่องดื่มที่มีสีเข้มหรือมีผลต่อสีฟัน อาทิ ชา กาแฟ ไวน์แดง น้ำอัดลม ผักสีเขียวเข้ม ฯลฯ อย่างน้อย 48 ชั่วโมงหลังฟอกฟันขาวมา
  • สำหรับคนที่สูบบุหรี่หรือติดชา-กาแฟ หากไม่คิดว่าตัวเองจะเลิก (สูบ) หรือลดปริมาณการดื่มชา-กาแฟลงได้ ควรปรึกษาคุณหมอที่ฟอกสีฟันให้คุณเกี่ยวกับการใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลฟันที่ผ่านการฟอกมา หรือชุด whitening kit หลังจากที่ฟอกมา 2-3 วันแล้ว

การดูแลรักษาฟันที่ฟอกมาไม่ใช่สิ่งที่จะทำแค่ 2-3 ครั้งแล้วเลิกหากต้องทำเป็นประจำเพื่อผลลัพธ์ที่คงทนยาวนาน นอกจากการดูแลโดยใช้ชุด whitening kit แล้วการกลับไปพบหมอฟันสม่ำเสมอ (ระยะเวลาแล้วแต่คุณหมอจะนัด) ก็เป็นข้อพึงปฏิบัติที่ไม่ควรลืมเช่นกัน

สละเวลาในการดูแลเอาใจใส่ฟันที่ฟอกมาสักนิด แล้วยิ้มของเราจะขาวสดใสยาวนานขึ้นค่ะ

ทำไมต้องฟอก (ฟัน)???

February 23, 2010 at 11:22 am | Posted in Beauty & Lifestyle | Leave a comment
Tags: , ,
Older Couple Smile

การมีฟันที่ขาวทำให้รอยยิ้มดูสดใส และดูเด็กลงกว่าอายุได้

“คุณอยากมีฟันที่ขาวสวยมั้ย?” คำถามในแนวกึ่งเชื้อชวนที่เรามักจะได้ยินหรือได้เห็นตามสื่อโฆษณาของคลีนิคหรือผลิตภัณฑ์ฟอกสีฟันที่มีอยู่มากมายในปัจจุบัน ยุคที่ใครๆ ก็อยากมีฟันที่ขาวสวยด้วยกันทั้งนั้น

ถ้าจะถามว่าทำไมการฟอกสีฟัน หรือ teeth whitening จึงเป็นเทรนด์ที่ฮิตติดลมบนในปัจจุบัน คำตอบก็คือถ้าเลือกได้คงไม่มีใครอยากยิ้มโชว์สีหม่นแกมเหลือง ถ้าจะบอกว่าฟันยิ่งคล้ำยิ่งมีเสน่ห์ ก็ดูจะหลงยุคเพราะเราเลิกกินหมากกินพลูกันไปนานแล้ว

เหตุผลที่คนอยากฟันขาว…

เพราะฟันที่ขาวเป็นการเพิ่มเสน่ห์ให้กับรอยยิ้ม รอยยิ้มที่มีเสน่ห์ก็คือกุญแจในการสร้างความประทับใจให้กับคนที่พบเห็น ดังนั้นคนส่วนใหญ่ที่ตัดสินใจฟอกสีฟันนั่นก็เพื่อเป็นการเตรียมตัวให้ดูดีพร้อมรับโอกาสสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นวันแต่งงาน การสัมภาษณ์งานใหม่ ออกเดทนัดสำคัญ ฯลฯ อีกนัยน์หนึ่งก็เป็นการสร้างความมั่นใจและเพิ่มความเชื่อมันในตัวเองให้เพิ่มมากขึ้นด้วย

ความมั่นใจสร้างได้ด้วยรอยยิ้ม

คงไม่ดีแน่ หากทุกครั้งที่เรายิ้มหรือหัวเราะแล้วต้องคอยเอามือปิดปากอยู่ตลอดเวลา เพราะนั่นเป็นการบ่งบอกว่าเราพยายามที่จะซ่อนสิ่งไม่พึงประสงค์บางอย่างจากสายตาผู้คน ซึ่งจะทำให้เราดูเป็นคนไม่ค่อยมีความมั่นใจไป การฟอกสีฟันให้ขาวขึ้นจึงเป็นหนทางในการเพิ่มดีกรีความมั่นใจ และเห็นผลได้เร็ว โดยเฉพาะในปัจจุบันเทคโนโลยีในการฟอกสีฟันก้าวหน้าไปมาก คุณสามารถมีฟันขาวสวยได้ภายใน 1 ชั่วโมงเท่านั้น ในขณะที่วิธีดั้งเดิมอย่างการใช้ถาดฟอกสีฟัน  (Bleaching tray) นั้นจะใช้เวลานานถึง 2 สัปดาห์

ดูเด็กได้ด้วยฟัน

สำหรับวัยคนที่อายุ 35 อัพ แรงจูงใจที่ทำให้อยากมีฟันขาวอาจจะแตกต่างจากคนหนุ่มสาว นั่นเป็นเพราะการมีฟันที่ขาวทำให้รอยยิ้มดูสดใส และดูเด็กลงกว่าอายุได้นั่นเอง

การฟอกฟันขาวเป็นกระแสที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในอังกฤษและอเมริกา ทำให้มีการพัฒนาเทคนิคในการฟอกสีฟันให้ทันสมัยและตอบโจทย์ความต้องการของคนที่อยากจะมีฟันขาวควบคู่ไปกับการพัฒนาผลิตภัณฑ์และเทคโนโลยีให้มีความทันสมัยและปลอดภัยควบคู่กันไป ในประเทศไทยเองก็มีคลินิกที่ให้บริการด้านดังกล่าวอยู่หลายแห่ง โดยมีการนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยที่พัฒนาในต่างประเทศเข้ามาให้บริการ

ฟอกสีฟันแบบไหนเหมาะกับเรา?

อย่างที่ทุกคนทราบกันดีว่า การฟอกฟันขาวนั้นแบ่งได้เป็น 2 ประเภทหลัก คือ ไปฟอกสีฟันที่คลีนิค ภายใต้การดูแลของทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ และ ฟอกสีฟันเองที่บ้าน ซึ่งอย่างหลังแม้จะมีค่าใช้จ่ายในแต่ละครั้งน้อยกว่า แต่ก็ใช้เวลานานกว่าในการที่จะแสดงผลลัพท์ออกมาเช่นกัน

ถึงแม้ค่าใช้จ่ายจะเป็นปัจจัยที่สำคัญในการพิจารณาว่าคุณควรจะเลือกฟอกฟันแบบไหน อีกสิ่งหนึ่งที่คุณควรนำมาช่วยในการตัดสินใจก็คือ คุณมีไลฟ์สไตล์แบบไหน หากคุณเป็นประเภทที่งานยุ่งจัดเสียจนไม่ค่อยมีเวลามานั่งบีบเจล ทามูสฟอกสีฟันทุกๆ วันติดต่อกันสักระยะหนึ่ง การไปทำทรีทเมนต์ฟันขาวน่าจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่า

อย่างที่บอกไปตอนต้นว่าเทคโนโลยีในการฟอกสีฟันเดี๋ยวนี้พัฒนาไปมาก ทำให้ขั้นตอนของการฟอกสีฟันที่คลีนิคในปัจจุบันใช้เวลาไม่นาน และกรรมวิธีที่ใช้ก็ไม่ก่อให้เกิคความเจ็บปวดอย่างที่หลายๆ คนกลัวกัน ที่สำคัญปลอดภัยเนื่องจากทำภายใต้การดูแลของทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ

หากคิดดูให้ดี การฟอกฟันขาวก็คล้ายๆ กับการลดน้ำหนักและการออกกำลังกาย คือต้องทำแบบต่อเนื่องจึงจะรักษาคุณประโยชน์นั้นให้อยู่ต่อไป หากฟอกสีฟันให้ขาวในครั้งแรกแล้ว หลังจากนั้นควรมีการดูแลรักษาและพบทันตแพทย์อย่างต่อเนื่อง ซึ่งการดูแลหลังจากฟอกสีฟันมาแล้วต้องทำอย่างไรบ้างนั้น จะเอาข้อมูลมาฝากกันในโอกาสต่อไปค่ะ

เมื่อจะสวยด้วยทันตกรรม…

February 22, 2010 at 9:17 am | Posted in Beauty & Lifestyle | Leave a comment
Tags: , , , , , ,

เดี๋ยวนี้ความสวย ความหล่อ ไม่ได้มองกันแค่ผิวเผินเสียแล้ว การมีหน้าตาท่าทางที่ดูดีแต่มีรอยยิ้มที่ (สี) หมองหม่นไม่สดใสทำให้ดีกรีความสวยความหล่อนั้นดร็อปไปหลายเปอร์เซ็นต์ นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำให้คนยุคใหม่หันมาให้ความใส่ใจกับ ”ทันตกรรมเพื่อความงาม” หรือ Cosmetic Dentistry กันมากขึ้น สำหรับหลายคนที่กำลังสนใจเทรนด์ที่ว่านี้ วันนี้เรามีข้อควรรู้เล็กๆ น้อยเกี่ยวกับเรื่องนี้มาฝากกัน

ทันตกรรมเพื่อความงาม…คืออะไร?

คือกรรมวิธีที่ช่วยทำให้ฟัน หรือจะให้ตรงประเด็นมากขึ้นก็คือรอยยิ้มของเราสวยงามขึ้น แล้ววิธีที่ว่านี้ก็มีอยู่หลายทางด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นการฟอกสีฟัน การจัดฟัน ทันตกรรมรากฟันเทียม การเคลือบผิวฟัน การศัลยกรรมทั้งปาก ฯลฯ ซึ่งต้องยอมรับว่าค่าใช้จ่ายของแต่ละกรรมวิธีนั้นแตกต่างกันไป ที่สำคัญก็คือ ใช่ว่ามีเงินแล้วจะหลับตาจิ้มว่าอยากยกเครื่องใหม่ทำศัลยกรรมทั้งปากได้ทุกคนเสมอไป เพราะกรรมวิธีบางอย่างอาจมีข้อจำกัดสำหรับคนบางคน ถ้าสุ่มสี่สุ่มห้าทำไปอาจจะออกแนวเสียเงินเปล่าก็เป็นได้ ดังนั้นก่อนที่จะตัดสินใจเราควรมาทำความรู้จักกับทันตกรรมเพื่อความงามให้มากขึ้นอีกสักนิดนะคะ

การฟอกสีฟัน

เป็นกรรมวิธีที่ง่ายและถูกที่สุดเมื่อเทียบกับทันตกรรมเพื่อความงามแขนงอื่นๆ เมื่ออายุยิ่งมากขึ้น สีฟันของเราที่ผ่านการใช้งานมาเป็นเวลานานก็จะหม่นลง กอปรกับปัจจัยอื่นๆ ของเจ้าของฟัน ไม่ว่าจะเป็นการดื่มชา กาแฟ หรือสูบบุหรี่ ที่ทำให้สีฟันของเราผิดเพี้ยนไปจากเดิม จนการแปรงฟันเพียงอย่างเดียวไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้

ในปัจจุบันกรรมวิธีในการฟอกสีฟันให้ขาว สวยนั้นพัฒนาไปมาก ที่สำคัญไม่เจ็บปวดเหมือนที่เราเคยรับรู้ในอดีต แม้เราจะหาซื้อผลิตภัณฑ์ฟอกสีฟันมาทำเองที่บ้านได้ แต่ในการทำเริ่มแรกขอแนะนำว่าควรอยู่ภายใต้การดูแลของทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ และอาจตามด้วยการซื้อผลิตภัณฑ์มาดูแลต่อที่บ้าน ทั้งนี้ต้องอยู่ภายใต้คำแนะนำของทันตแพทย์หรือคำอธิบายที่มาพร้อมกับผลิตภัณฑ์อย่างเคร่งครัด

การจัดฟัน

แต่ก่อนถ้าพูดถึงการจัดฟัน หลายคนอาจทำหน้าเบ้ เพราะนั่นหมายถึงการเอาเหล็กมาใส่ไว้ในปาก ดูแล้วไม่สวยเอาเสียเลย แต่ปัจจุบันเหล็กที่ใช้ในการจัดฟันนั้นได้รับการดีไซน์ให้มีสีสันและดูดีมากขึ้น ที่สำคัญวัสดุที่ใช้ นอกจากจะเป็นเหล็กแบบดั้งเดิมแล้ว ยังมีแบบพลาสติกอีกด้วย ทำให้การจัดฟันเดี๋ยวนี้ไม่ได้ทำเพื่อให้ฟันสวยงามเพียงอย่างเดียวแล้ว แต่หลายคนเลือกที่จะจัดฟันเพราะต้องการอินเทรนด์อีกด้วย

ทันตกรรมรากฟันเทียม

คงไม่มีใครที่อยู่ดีๆ จะลุกขึ้นมาบอกว่า “ฉันอยากทำรากฟันเทียม” โดยไม่มีสาเหตุ เพราะกรรมวิธีดังกล่าวนอกจากจะมีค่าใช้จ่ายที่สูงแล้วยังเป็นกรรมวิธีที่ค่อนข้างละเอียดอ่อน เนื่องจากจะต้องทำให้รากฟันที่ทำขึ้นมาใหม่นั้นใช้งานได้ดีหรือเข้ากับของที่มีอยู่เป็นอย่างดี

การเคลือบผิวฟัน

เป็นอีกหนึ่งกรรมวิธีที่ทำให้ฟันของเราสวยสมบูรณ์ โดยการนำวัสดุอย่างพลาสติกเรซิน หรือเซรามิคมาเติมเต็มหรือเคลือบฟันซี่ที่ไม่สมบูรณ์เนื่องจากแตก บิ่น หรือห่างกัน

ศัลยกรรมทั้งปาก

ฟังดูอาจไม่ค่อยคุ้นหูเท่าการทำศัลยกรรมทั้งตัว แต่การทำศัลยกรรมทั้งปากนั้นมีจริงๆ ค่ะ ซึ่งผู้ที่จำเป็นต้องใช้บริการประเภทนี้ก็คือคนที่บังเอิญเกิดอุบัติเหตุร้ายแรงจนทำให้ฟันร่วงหมดปาก หรือฟันได้รับความเสียหายจนเกินเยียวยาด้วยวิธีที่กล่าวมาก่อนหน้านี้ ที่สำคัญใช่ว่าคลินิกทันตกรรมทุกแห่งจะให้บริการดังกล่าวนะคะ เพราะนี่เป็นการรักษาที่ค่อนข้างเฉพาะทาง และราคาสูงเอาการทีเดียวค่ะ

อย่างไรก็ดี ไม่ว่าคุณจะเลือกหรือจำเป็นต้องเข้ารับการทำทันตกรรมประเภทไหน ควรศึกษารายละเอียดหรือไม่ก็แวะเข้าไปปรึกษากับคุณหมอฟันโดยตรงเลยก็จะเป็นการดีค่ะ ขอให้ฟันดีมีสุขกันทุกคนนะคะ

นิทานฟันหลอ!

February 19, 2010 at 11:25 am | Posted in Beauty & Lifestyle | Leave a comment

จำได้มั้ยว่าตอนเด็กๆ เวลาฟันน้ำนมหัก ผู้ใหญ่มักจะบอกว่าอย่าไปโยนทิ้งเปะปะนะ ให้จับฟันน้ำนมที่หลุดออกไว้ให้มั่นในมือ หันหลังให้กับหลังคาหรือว่าที่สูงๆ แล้วโยนข้ามไหล่ขึ้นไปกะให้ฟันขึ้นไปอยู่บนนั้นพอดี เรื่องนี้มันเป็นเพียงการหลอกเด็กหรือมีเหตุผลอะไรที่สามารถอธิบายให้เป็นเป็นวิทยาศาสตร์ได้หรือไม่ ?

ที่จริงแล้วเรื่องนี้เกี่ยวกับจิตวิทยาล้วนๆ โดยเหตุผลก็คือต้องการให้เด็กเกิดความสบายใจเมื่อเกิดความเปลี่ยนแปลงในร่างกายที่เด็กอาจรู้สึกว่าเป็นความสูญเสีย ซึ่งอาจมีผลกระทบต่อจิตใจที่เปราะบางได้ง่ายๆ ฟันที่หลอหรือไม่สวยเป็นเหตุให้เด็กเกิดความกังวลใจ ยิ่งถ้าถูกเพื่อนล้อว่า “ว้าย ฟันหลอ” หรือ เวลาเดินมาแล้วเพื่อนตะโกนมาว่า “ไอ้หลอมาแล้ว” ก็จะทำให้เด็กเสียความมั่นใจจนอาจไม่อยากไปโรงเรียนหรือออกจากบ้านเลย ผู้ใหญ่ในสมัยโบราณจึงคิดค้นหลักคิดและความเชื่อนี้ขึ้นเพื่อปลอบขวัญ และสร้างกำลังใจให้กับลูกหลาน นับว่าเป็นนวัตกรรมทางสังคมและวัฒนธรรมที่มาก่อนพัฒนาการด้านจิตวิทยาเด็กหลายเท่า

ขอขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก วิทยาศาสตร์รอบตัว(จาก สสวท.)

เขี้ยว…เสน่ห์ของรอยยิ้ม?

February 17, 2010 at 7:03 am | Posted in Beauty & Lifestyle | Leave a comment
ฟันเขี้ยว

ฟันเขี้ยวช่วยเพิ่มเสน่ห์ให้กับรอยยิ้มของคุณได้จริงหรือ?

เมื่อก่อนตอนยังเยาว์วัยกว่านี้ เคยตกอยู่ในยุคของ “เขี้ยว” ฟีเวอร์ คือใครยิ้มแล้วมีฟันโผล่ออกมานี่ถือว่าน่ารัก ในขณะที่บางคนกลับมองว่าคนมีเขี้ยวนี่เหมือนเป็นคนฟันเกิน ฟันเรียงตัวผิดปรกติหรือเปล่า ความจริงจะเป็นอย่างไรนั้น วันนี้ได้รู้กัน

ฟันเขี้ยว คือฟันที่มีปลายแหลมและมีความนูนมากกว่าฟันซี่อื่น จริงๆ แล้วทุกคนต่างก็มีคนละ 4 ซี่ โดยแบ่งเป็นฟันบน 2 ซี่ ฟันล่าง 2 ซี่ หน้าที่ของฟันเขี้ยวก็คือช่วยในการฉีกหรือตัดอาหาร

พอมาถึงตรงนี้ทุกคนคงเริ่มตั้งคำถามว่า ถ้าทุกคนต่างก็มีฟันเขี้ยว แล้วทำไมบางคนถึงมีเขี้ยวโชว์เด่นออกมาแบบนั้นล่ะ? คำตอบก็คือเพราะฟันเขี้ยวของพวกเขาเหล่านั้นเกิดการบิดตัวซ้อนเกออกมานอกแนว ไม่ได้อยู่ในแนวเดียวกันกับฟันซี่ข้างๆ ทำให้เวลายิ้มจึงมองเห็นว่ามีฟันเขี้ยวเด่นออกมา

แล้วฟันเขี้ยวนั้นมีเสน่ห์จริงไหม ?

สำหรับบางคนเขี้ยวจะทำให้ความน่ารักเพิ่มขึ้นได้ในเวลายิ้ม แต่ไม่ได้หมายความว่าเขี้ยวจะเป็นเสน่ห์ของผู้หญิงทุกคน ในยุคหนึ่งที่กระแสของ “เขี้ยวเสน่ห์” ยังเข้มข้น หลายคนถึงกับวิ่งหาหมอฟันพร้อมกับรูปดาราที่ชื่นชอบและบอกว่าอยากมีเขี้ยวบ้าง เคยสงสัยกันบ้างไหมค่ะว่าเขี้ยวนี้ทำกันได้ด้วยเหรอ? แล้วทำกันอย่างไร ? มีข้อเสียหรือไม่ ? แล้วถ้าเกิดเบื่อ ไม่อยากมีเขี้ยวแล้ว จะแก้ไขกลับคืนมาได้หรือไม่ ?

เสริมเขี้ยว ทำได้ยังไง?

การทำเขี้ยวนั้น เป็นการเปลี่ยนรูปร่างของฟันให้มองดูเหมือนฟันเขี้ยวที่เด่นขึ้นมาจากฟันซี่ข้างๆ ในกรณีที่ฟันเขี้ยวเรียงตัวอยู่ในแนวฟันปกติ โดยใช้วัสดุอุดฟันที่มีสีเหมือนฟันธรรมชาติ ปิดทับลงบนฟันเขี้ยวและตกแต่งรูปร่างให้ฟันเขี้ยวที่มีอยู่นูนเด่นมากขึ้น โดยใช้วัสดุเป็นเรซินที่ใช้อุดฟันหน้า และตัววัสดุอุดที่ใช้มักจะติดกับฟันได้ด้วยสารที่ช่วยในการยึดฟัน

อีกวิธีหนึ่งทำได้โดยการกรอผิวหน้าฟันออกบางส่วน จากนั้นจะพิมพ์ปากเพื่อทำแบบจำลองฟัน แล้วนำมาทำในแล็บ เมื่อได้ชิ้นงานของฟันเขี้ยวที่ตกแต่งขึ้นมาแล้ว จึงนำกลับมาติดลงบนฟัน วิธีนี้สามารถใช้วัสดุพวกพอร์ซเลน ซึ่งมีความสวยงามและคงทนมากกว่าวัสดุอุดฟัน แต่จะเสียเวลามากกว่า

แต่การที่มีฟันเรียงตัวเป็นระเบียบอยู่แล้วนั้น น่าจะเป็นสิ่งที่ดีกว่าการตกแต่งฟันให้มีเขี้ยว เนื่องจากมักจะมีปัญหาเหงือกอักเสบตามมาภายหลัง ซึ่งเกิดจากการนูนเกินไปของฟัน และจะทำให้การดูแลรักษาความสะอาดทำได้ยากกว่าด้วย แถมบางคนติดเพชรหรือคริสตัลที่ปลายฟันเขี้ยว เมื่อเวลาผ่านไป คริสตัลหรือเพชรนั้นหลุดออก ช่องว่างตรงนั้นก็จะกลายเป็นที่สะสมของคราบแบคทีเรีย ก่อให้เกิดการผุของฟันในบริเวณนั้นได้

เบื่อเขี้ยวแล้ว กำจัดได้หรือไม่?

แต่เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนไป กระแสเขี้ยวเสน่ห์ก็เริ่มจืดจาง แล้วเราจะทำยังไงกับเขี้ยวที่อุตส่าห์ไปเสียเงินทำมาดีล่ะเนี่ย? คำตอบคือ ในเมื่อเราสร้างมันขึ้นมาได้ก็กำจัดได้ แต่คงต้องอยู่ภายใต้การดูแลของคุณหมอฟันนะคะ

ถ้าการทำเขี้ยวแต่เดิมนั้นเป็นเพียงการเติมวัสดุอุดลงบนฟันให้นูนเด่นออกมา วิธีแก้ไขอาจทำได้โดยการกรอแต่งวัสดุอุดนั้นออกไป และขัดแต่งฟันเขี้ยวให้มีรูปร่างดังเดิม แต่ถ้าเป็นการติดชิ้นงานฟันเขี้ยวที่ตกแต่งให้นูนเด่นบนฟันแล้วละก็ คงต้องให้คุณหมอช่วยนำชิ้นงานนั้นออก และพิมพ์ปากเพื่อส่งทำชิ้นงานใหม่ที่มีรูปร่างฟันเหมือนเดิมกลับมาติดแทน

จะว่าไป การมีฟันที่เรียงตัวสวยอยู่แล้วเนี่ยดูจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุดอยู่แล้วนะคะ แต่หากเราต้องการเพิ่มเสน่ห์ให้กับรอยยิ้มของเราแล้วล่ะก็ การดูแลสุขภาพปากและฟันให้แข็งแรงน่าจะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี ยิ่งปัจจุบันเทคโนโลยีของทันตกรรมเพื่อความงามได้ก้าวหน้าไปมาก ไม่ว่าจะเป็นการฟอกฟันขาว การจัดฟัน หรือการเติมเต็มช่องว่างระหว่างฟัน นอกเหนือจากสิ่งเหล่านี้แล้วการมีบุคลิกภาพที่ดี สุขภาพจิตดี ร่าเริง แจ่มใส น้ำใจงาม ดูจะเป็นมนต์เสริมเสน่ห์ชั้นดีให้กับตัวเราเลยล่ะค่ะ

ข้อมูลอ้างอิง บทความของ ทญ.อรุณี จงธนากร ตีพิมพ์ในนิตยสารใกล้หมอ

ยิ้มนี้ “แอ๊บ” หรือเปล่า

February 16, 2010 at 7:32 am | Posted in Beauty & Lifestyle | Leave a comment
Tags: , , , ,

Broad smile

อย่างที่เราทราบกันดีว่า “รอยยิ้ม” ของเราเนี่ยเป็นภาษากายที่สามารถถ่ายทอดอารมณ์และความรู้สึกของเราออกมาให้เห็นเป็นรูปธรรมได้ดีที่สุดทางหนึ่ง จึงไม่น่าแปลกใจว่าทำไมเราถึงเห็นรอยยิ้มหลากหลายรูปแบบ นั่นก็เป็นเพราะว่าคนเรานี่มีอารมณ์ที่หลากหลายนั่นเอง

จากผลการวิจัยล่าสุดพบว่ารอยยิ้มประเภทหลักๆ ของคนเรามีอยู่ 3 แบบด้วยกัน ซึ่งเป็นรอยยิ้มที่แสดงสภาวะทางอารมณ์ที่แตกต่างกันไป ได้แก่


รอยยิ้มแบบจริงใจ
(Heartfelt Smile)

ตามชื่อเลยค่ะ รอยยิ้มประเภทนี้เป็นยิ้มที่ส่งตรงมาจากใจ จึงเต็มไปด้วยความจริงใจ ปลื้มใจ สุขใจ และพลังแห่งความสุขนี่เองที่ทำให้กล้ามเนื้อบริเวณใบหน้าของเราช่วยยกให้มุมปากของเราเปิดกว้าง โชว์ฟันขาวสวย (บางรายอาจจะยิ้มไม่โชว์ฟัน) ในขณะที่แก้มทั้งสองข้างก็จะยกขึ้น ผิวหนังบริเวณเบ้าตาก็หดตัว (ไม่ต้องเสียเวลาทำตามก็ได้นะคะ แค่ลองนึกถึงภาพคนที่ยิ้มกว้างซะจนตาหยีแทนก็ได้) ที่สำคัญคือรอยยิ้มแบบนี้มักจะค้างอยู่ได้ไม่นานนัก ประมาณเสี้ยววินาที – 4 วินาที ถ้ายิ้มค้างนานกว่านี้คงต้องดูให้แน่ใจว่าคนยิ้มแอบกรามค้างหรือเปล่า!


รอยยิ้มแบบแฝงความเศร้า (Gloomy Smile)

จะว่าไปการแสดงอารมณ์ของคนเราก็แปลกนะคะ ทุกข์ใจ เศร้าใจ ก็ยังสื่อผ่านออกมาในรูปของรอยยิ้ม แต่รอยยิ้มแบบนี้ใครบังเอิญไปเห็นเข้าก็อย่านึกว่าคนยิ้มเค้าอยากจะยิ้มนักนะคะ โดยมากรอยยิ้มแบบนี้จะมาจากคนที่กำลังมีความทุกข์ ผิดหวัง ล้มเหลว หรือว่าเสียใจ ลักษณะที่พอสังเกตได้ก็คือเป็นยิ้มในลักษณะยิ้มมุมปาก (ไปด้านใดด้านหนึ่งหรือทั้งสองข้าง) ครึ่งปากอาจจะแสดงประหนึ่งว่ากำลังยิ้มอยู่ ในขณะที่อีกครึ่งปากดูหมองเศร้า เหมือนตัดสินใจไม่ได้ว่าจะยิ้มหรือว่าจะเศร้าดี ถ้าใครกำลังตกอยู่ในสภาพนี้ ลองเลือกที่จะยิ้มข่มทุกข์ที่มีให้ได้นะคะ เพราะทุกอย่างย่อมมีทางออกเสมอค่ะ


รอยยิ้มแบบเสแสร้ง (Counterfeit Smile)

เป็นรอยยิ้มที่ต้องใช้ความพยายามและพละกำลังของกล้ามเนื้อหน้ามากที่สุดในบรรดารอยยิ้มทั้ง 3 แบบที่กล่าวมา แต่ไม่น่าเชื่อว่าจะพบเห็นได้บ่อยสุดเหมือนกัน ถ้านึกไม่ออกว่ารอยยิ้มแบบนี้เป็นยังไง ให้นึกถึงรอยยิ้มของดาราเวลาเจอกล้อง รอยยิ้มของสาวๆ บนเวทีประกวด หรือรอยยิ้มของบรรดาเซลส์ตามเคาน์เตอร์ต่างๆ

แล้วเราจะแยกแยะได้อย่างไรว่ารอยยิ้มอันไหนเป็นรอยยิ้มที่มาจากใจหรือรอยยิ้มที่เสแสร้งแกลังทำ? ดูได้จาก “ดวงตา” ค่ะ คนที่ยิ้มแบบจริงใจส่วนใหญ่ ตาจะหรี่ หยี หรือในบางคนจะโชว์รอยหยักบริเวณรอบดวงตา (รอยตีนกานั่นแหละค่ะ) ในขณะที่คนที่แอ๊บยิ้มดวงตาก็จะดูเป็นปกติเหมือนพยายามจะใช้ความปกติปกปิดอะไรบางอย่าง และถ้าสังเกตดีๆ ก็จะเห็นว่าขณะยิ้มริมฝีปากบนจะเผยอขึ้นในขณะที่ริมฝีปากล่างจะเหยียดเป็นเส้นตรง เรียกง่ายๆ เหมือนกับแสยะยิ้มมากกว่า

สงสัยที่เรามักได้ยินว่า ดวงตาเป็นหน้าต่างของหัวใจ คงจะไม่ได้เป็นคำพูดที่กล่าวขึ้นมาลอยๆ เพื่อความโรแมนติกเท่านั้นซะแล้ว เพราะในทางวิทยาศาสตร์นั้น พิสูจน์มาแล้วว่ากล้ามเนื้อบริเวณตาของเรานั้นเป็นส่วนของร่างกายที่ไม่สามารถควบคุมให้อยู่ภายใต้จิตสำนึกได้ ดังนั้น ต่อไปจะดูว่าใครยิ้มแท้ ยิ้มเทียม ก็ลองสังเกตดูที่ดวงตาของเค้าคนนั้นให้ดีๆ นะคะ

วันนี้คุณ “ขัด” แล้วหรือยัง?

February 1, 2010 at 8:35 am | Posted in Deantal Health | Leave a comment
Tags: , , ,

อย่างที่ทราบกันดีว่าการแปรงฟันอย่างถูกวิธีเป็นเพียงการดูแลทำความสะอาดเหงือกและฟันขั้นเบื้องต้นเท่านั้น เพราะถึงเราจะแปรงฟันเป็นประจำทุกวันอย่างไร ก็ดูเหมือนว่าจะยังทำความสะอาดซอกเล็กซอกน้อยในช่องปากของเราได้ไม่ทั่วถึงอยู่ดี นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำไมคุณหมอฟันจึงย้ำนักย้ำหนาว่าเราควรจะใช้ไหมขัดฟันในการช่วยทำความสะอาดช่องปากร่วมด้วย

การใช้ไหมขัดฟันเพียงวันละครั้งมีส่วนช่วยลดคราบจุลินทรีย์บนผิวฟัน โดยเฉพาะส่วนโคนฟันที่อยู่ใกล้เหงือก และแปรงสีฟันมักจะ เข้าไม่ถึง ทำให้โอกาสเป็นโรคฟันผุ เหงือกอักเสบ เนื้อเยื่อรอบโคนฟันอักเสบลดลง

การศึกษาที่ผ่านมาพบว่า คนที่แปรงฟันถูกวิธีเป็นประจำและใช้ไหมขัดฟันวันละครั้งมีโอกาสอายุยืนเพิ่มขึ้นประมาณ 3 ปี

ไหมขัดฟันมีลักษณะคล้ายเส้นด้าย แต่เส้นใยย่อย ๆ ในไหมขัดฟันเรียงตัวขนานกัน เวลาใช้งานเส้นใยย่อยจะถูกแผ่ออกมาเป็นแถบทำความสะอาดฟันได้ ต่างจากเส้นด้ายธรรมดาที่เส้นใยย่อยถูกถักเป็นเส้นกลมจึงหยาบและคม ไม่สามารถใช้แทนไหมขัดฟันได้

ไหมขัดฟันที่จำหน่ายอยู่ทั่วไปมีอยู่ 2 แบบ ได้แก่

  • แบบเคลือบขี้ผึ้ง เหมาะสำหรับผู้ที่เริ่มใช้ครั้งแรกและผู้ที่มีฟันชิดติดกันจนแน่น
  • แบบไม่เคลือบขี้ผึ้ง เหมาะกับฟันที่สัมผัสกันไม่แน่นมากนัก

อย่างไรก็ดี ไหมขัดฟันทั้ง 2 แบบนี้มีประสิทธิภาพในการทำความสะอาดซอกฟันเท่ากัน ถ้าใช้อย่างถูกต้อง

คราวนี้เรามาดูกันว่า การใช้ไหมขัดฟันที่ถูกต้องนั้นมีขั้นตอนอย่างไรบ้าง

  • ตัดไหมขัดฟันยาวประมาณฟุตครึ่ง หรือ 18 นิ้ว นำมาพันรอบนิ้วกลางกับนิ้วนาง (หรือนิ้วกลางนิ้วเดียวก็ได้ แต่อย่าพันกับนิ้วชี้) ให้แน่นพอประมาณ โดยเหลือเส้นไหมไว้ระหว่างมือประมาณ 3-4 นิ้ว เพื่อใช้ทำความสะอาดฟัน
  • ใช้นิ้วหัวแม่มือกับนิ้วชี้จับเส้นไหมไว้สำหรับทำความสะอาดฟัน ให้เส้นไหมเหลืออยู่ระหว่างนิ้วมือ 2 ข้างประมาณ 1/2 นิ้วจนถึงนิ้วครึ่ง
  • ค่อยๆ สอดเส้นไหมเข้าไประหว่างซี่ฟันเบาๆ ให้เส้นไหมโอบล้อมฟันคล้ายรูปตัว C ค่อยๆ ทำความสะอาดฟันทีละซี่ ระวังอย่าให้เส้นไหมบาดเหงือก
  • ออกแรงถูเส้นไหมบนผิวฟันขึ้น-ลงเบาๆ 2-3 ครั้ง ในแนวนอน อย่าออกแรงในแนวตั้ง เพื่อป้องกันอันตรายต่อเหงือก โดยเริ่มจากส่วนบนสุดของซี่ฟันลงไปใต้แนวเส้นเหงือกเล็กน้อย แล้วกลับขึ้นไปใหม่
  • การออกแรงกดเส้นไหมแรง อาจจะทำให้เหงือกช้ำหรืเป็นแผลได้ วิธีสังเกตว่าเราออกแรงกดบนเหงือกแรงเกินไปหรือไม่ ให้ตรวจดูว่ามีรอยกดของเส้นไหมบนเหงือกหรือไม่ ซึ่งถ้าทำถูกวิธี จะไม่มีรอยกดนี้เลย
  • เมื่อทำความสะอาดฟันได้ประมาณ 2-3 ซี่  หรือเส้นไหมเกิดการฉีกขาดบางส่วน ให้เลื่อนตำแหน่งไหมขัดฟันจากส่วนที่ใช้แล้ว ไปยังส่วนที่ยังไม่ได้ใช้ หลังใช้ไหมขัดฟันแล้ว ควรบ้วนปากตามหลายๆ ครั้ง เพื่อกำจัดคราบจุลินทรีย์ออกจากปากเสมอ
  • ก่อนแปรงฟัน ควรใช้ไหมขัดฟันเพื่อทำความสะอาดผิวฟันก่อน จากนั้นแปรงฟันด้วยยาสีฟันที่ผสมฟลูออไรด์ วิธีนี้จะทำให้ฟลูออไรด์เข้าไปจับกับกลุ่มแคลเซียมบนผิวฟันได้ดียิ่งขึ้น

ถ้าใช้ไหมขัดฟันแล้วมีเลือดออกมาก เหงือกบวม แดง หรือเจ็บเหงือกมาก ควรรีบปรึกษาคุณหมอฟันโดยเร็ว

ขอขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก กองทันตสาธารณสุข กรมอนามัย, http://gotoknow.org

เรื่องเกี่ยวกับฟันที่คุณ (อาจจะ) ไม่รู้

February 1, 2010 at 5:31 am | Posted in Deantal Health | Leave a comment
Tags: , , , ,


หลายคนตั้งข้อสงสัย เอ๊ะ…ยังมีเรื่องอะไรที่ฉันยังไม่รู้เกี่ยวกับเจ้าอวัยวะส่วนนี้อีกหรือ แต่ถึงรู้ คุณจะแน่ใจได้อย่างไรว่าสิ่งที่คุณรู้นั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้อง หรือเป็นเพียงความเชื่อที่แอบคิดเอาเองว่าน่าจะเป็นเช่นนั้น ลองมาดูกันนะคะว่าในความเชื่อเกี่ยวกับฟันต่อไปนี้ คุณ(หลง)เชื่อมานานแล้วสักกี่ข้อ

ความเชื่อที่ 1: ฟันผุเป็นเรื่องของเด็กๆ เท่านั้น
ความจริง: ผิดค่ะ ตราบใดที่คุณยังใช้ฟันบดเคี้ยวอาหารโอกาสในการเกิดฟันผุย่อมมีอยู่อย่างแน่นอน และยิ่งเมื่อคุณอายุมากขึ้น ฟันและเหงือกย่อมต้องผ่านการใช้งานยาวนานขึ้น หากดูแลรักษาไม่ทั่วถึงก็มีโอกาสที่จะเกิดฟันผุได้ในทุกเพศ และทุกวัย

ความเชื่อที่ 2: คนที่ใส่ฟันปลอมไม่จำเป็นต้องไปหาหมอฟันอีกต่อไป
ความจริง: ก็ผิดอีกนั่นแหละค่ะ เพราะไม่ว่าคุณจะใส่ฟันปลอม 1 ซี่ 2 ซี่ หรือว่าทั้งปาก คุณก็ต้องดูแลรักษา และไปหาหมอฟันเป็นประจำ อย่างน้อยๆ ก็ทุก 6 เดือนล่ะค่ะ

ความเชื่อที่ 3: เราควรใส่ใจสุขภาพอนามัยในช่องปากเพียงเพื่อจะได้ดูดี มีบุคลิกเด่น
ความจริง: คงต้องบอกว่าถูกเพียงส่วนเดียวค่ะ มีการศึกษาจากหลายสถาบันพบว่าอนามัยในช่องปากที่ไม่ดีนั้นจะส่งผลต่อสุขภาพร่างกายของเราด้วย นอกจากนี้ ยังมีการศึกษาพบว่าคนที่มีปัญหาเกี่ยวกับเหงือกและฟันมีโอกาสเสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวานและโรคหัวใจ ขณะที่ในผู้สูงอายุ สุขอนามัยในช่องปากที่ไม่ดีจะทำให้เป็นโรคเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจได้

ความเชื่อที่ 4: สุขอนามัยในช่องปากไม่มีผลต่อสุขภาพร่างกายโดยรวม
ความจริง: ไม่จริงค่ะ เพราะถ้าเหงือกของคุณมีปัญหา แบคทีเรียที่อยู่ในปากอาจจะก่อหวอดเดินขบวนเข้าสู่กระแสเลือด และอาจจะทำให้เสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจ เส้นเลือดในสมองอุดตัน หรือในคนท้องอาจทำให้เด็กที่คลอดออกมาน้ำหนักตัวน้อยกว่าปรกติ

ความเชื่อที่ 5: เลือดออกตอนแปรงฟันเป็นเรื่องปรกติ
ความจริง: ไม่ปรกติหรอกค่ะ หากมีเลือดออกตอนแปรงฟันนั่นเป็นสัญญาณเตือนแล้วล่ะค่ะว่าเหงือกของคุณกำลังมีปัญหา

ความเชื่อที่ 6: เราแปรงฟันก็เพื่อขจัดเศษอาหารในช่องปาก
ความจริง: ใช่ค่ะ นอกจากนั้น การแปรงฟันและใช้ไหมขัดฟันเป็นประจำทุกวันยังช่วยลดปริมาณการก่อตัวของคราบหินปูน และยังป้องกันการเกิดโรคในช่องปากอีกด้วย

ความเชื่อที่ 7: กลิ่นปากเกิดจากสุขภาพอนามัยในช่องปากไม่ดี
ความจริง: ถูกต้องค่ะ นอกจากนี้ แบคทีเรียที่อยู่บริเวณลิ้นและคอของเราก็ยังเป็นสาเหตุของการเกิดกลิ่นปาก โดยเจ้าแบคทีเรียนี่เองที่จะผลิตสารประกอบซัลเฟอร์ ซึ่งเป็นที่มาของกลิ่นไม่พึงประสงค์ในช่องปากของเรานั่นเอง

ความเชื่อที่ 8: คนท้องไม่ควรไปพบหมอฟัน
ความจริง: ไม่จริงหรอกค่ะ เพราะในความเป็นจริง สุขภาพในช่องปากนั้นมีผลต่อสุขภาพของทารกในท้องเป็นอย่างมาก หากคุณแม่ปล่อยให้มีอาการผิดปรกติในช่องปาก ไม่ว่าจะเป็นเหงือกอักเสบหรืออาการอื่นๆ ในช่วงตั้งครรภ์อาจส่งผลกระทบทำให้เด็กคลอดก่อนกำหนด หรือคลอดออกมาแล้วน้ำหนักตัวน้อยผิดปรกติได้

ความเชื่อที่ 9: เมื่ออายุมากขึ้นยังไงก็ต้องฟันร่วงหมดปากอยู่ดี
ความจริง: เมื่อก่อนนี้อาจจะมีความเป็นไปได้ค่ะ แต่ตอนนี้วิทยาการด้านทันตกรรมได้พัฒนามากขึ้น บวกกับการที่คนยุคใหม่หันมาใส่ใจสุขภาพอนามัยในช่องปากมากขึ้นทำให้แนวโน้มของการอยู่แบบคนไร้ฟันนี่มีโอกาสน้อยมากๆ ถ้าไม่ไปทำตัวกวนอกกวนใจใครเข้ายังไงซะ ความเชื่อนี้ก็ไม่น่าจะเป็นเรื่องจริงไปได้หรอกค่ะ

Create a free website or blog at WordPress.com.
Entries and comments feeds.